ปีหน้า...ไม่ใช่ยุคทอง โลว์คอสต์แอร์ไลน์ รายงานโดย :ทีมข่าวท่องเที่ยว:
วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ธุรกิจ สายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอสต์แอร์ไลน์) ที่ผ่านมาเป็นธุรกิจที่หลายฝ่ายมองว่า เป็นธุรกิจที่สร้างเงินได้มหาศาล และมีอนาคตอันน่าสดใส ถึงขนาดที่กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ของเมืองไทยอย่างกลุ่มชิน ก้าวเข้าไปถือหุ้นในสายการบิน ไทยแอร์ เอเชีย เพื่อดำเนินธุรกิจ
บุญคลี ปลั่งศิริ ซีอีโอของกลุ่มในยุคนั้นออกมาให้สัมภาษณ์อย่างมั่นใจว่า ต่อไปนี้เป็นยุคของการเดินทาง และการเดินทางด้วยสายการบินต้นทุนต่ำจะเข้ามามีบทบาทอย่างมาก เนื่องจาก “ราคา” ค่าบัตรโดยสารนั้นจะสูงกว่าราคาโดยสารรถไฟหรือรถทัวร์ไม่มากนัก แต่ได้เปรียบในเรื่องของ “เวลา” การเดินทางที่ต่างกันหลายเท่าตัว
ถึงขนาดที่บุญคลีออกมาบอกว่า นับแต่นี้ไป “ใครก็บินได้” นั่นหมายความว่า กำแพงราคา ของการเดินทางด้วยเครื่องบินนั้นได้ถูกกำจัดออกไปแล้ว
กระแสความรุนแรงของสายการบินโลว์คอสต์แอร์ไลน์ นั้นถูกปลุกขึ้นมาด้วย แคมเปญราคา ศูนย์บาททุกที่นั่ง ทำเอาเกิดกระแส โลว์คอสต์ ฟีเวอร์ เกิดขึ้นเพียงข้ามคืน และกลายเป็นสัญลักษณ์ของสายการบินโลว์คอสต์
ส่งผลให้ที่ผ่านมามีสายการบินต้นทุนต่ำเปิดให้บริการตามกันมาไม่ น้อย ไม่ว่าจะเป็นสายการบินนกแอร์ ที่เป็นบริษัทลูกของการบินไทย สายการบินวัน-ทู-โก ที่แตกออกมาจากโอเรียนท์ไทย ซึ่งในช่วงของการให้บริการในระยะแรก กระแสการเดินทางด้วยสายการบินต้นทุนต่ำทำให้ธุรกิจนี้เกิดขึ้นอย่างสวยงาม และมีอนาคตที่สดใสไม่น้อยทีเดียว
แต่ในขณะนี้สายการบินต้นทุนต่ำทั้งหมดที่เปิดให้บริการ ต่างประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจอย่างมาก ถึงขนาดที่ขาดทุนกันเดือนละ 30 ล้านบาททีเดียว
ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการสายการบินต้นทุนต่ำหลายแห่งต้องปลดพนักงานออก รวมถึงลดเวลาทำงานของพนักงาน เพื่อลดค่าใช้จ่ายของสายการบินเพื่อความอยู่รอดให้ได้มากที่สุด
ทำไมธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำถึงตกต่ำขนาดนั้น???
อุดม ตันติประสงค์ชัย เจ้าของสายการบินวัน-ทู-โก ให้สัมภาษณ์พิเศษ โพสต์ทูเดย์ ถึงอนาคตของธุรกิจนี้ว่า แม้จะผ่านการทำธุรกิจมากว่า 20 ปี แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถมองอนาคตของธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำได้ ว่าจะก้าวไปในทิศทางใด เพราะทุกอย่างยากที่จะคาดการณ์ได้
ทั้งนี้ เพราะสงครามราคาที่แต่ละสายการบินแข่งขันกันอยู่นั้น เป็นวิธีการที่มีแต่ผู้แพ้ เพราะ “ราคา” ที่ขายอยู่นั้น ทำให้ผลการดำเนินงาน “ขาดทุน” ตลอด
อุดม บอกว่า ผลการดำเนินงานของวัน-ทู-โก ในช่วงมี.ค.-เม.ย. ที่ผ่านมา ขาดทุนทั้งสิ้นประมาณ 500 ล้านบาท แต่วันนี้ให้บริการเพียง 8 เที่ยวบินต่อวัน เครื่องบินใช้อยู่ประมาณ 2 ลำ จากเครื่องบินที่มีอยู่ 8 ลำ ยังคุ้มกว่ามาก
“ที่ผ่านมา ยิ่งบินมาก ยิ่งให้บริการมาก ยิ่งขาดทุน เพราะเราไม่สามารถขยับราคาขึ้นไปได้ ตอนนี้ไม่มีใครเป็นสายการบินต้นทุนต่ำแล้ว ทุกคนมีราคาตั๋วทั้งนั้น”
ประกอบกับในขณะนี้สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาลงอย่างหนัก และการปิดสนามบินสุวรรณภูมิในช่วงที่ผ่านมายิ่งทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเป็นลูกค้าหลักกว่า 30-40% หายไปจากตลาดทั้งหมด ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนั้นไม่ต้องหวังพึ่งในช่วงนี้ ทำให้โหลดแฟกเตอร์ของสายการบินโลว์คอสต์เฉลี่ยอยู่ที่ 30-40% เท่านั้น
เพียงแค่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว สายการบินโลว์คอสต์ก็เจ็บหนักอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ “อุดม” บอกว่าเป็นการปิดฉากธุรกิจโลว์คอสต์ก็คือ การประกาศลดราคาเที่ยวบินในประเทศของบริษัท การบินไทย เหลือเพียง 1,900 บาทเท่านั้น ซึ่งสูงกว่าราคาของสายการบินโลว์คอสต์เพียงไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น
“ถ้าการบินไทยยังลดราคาอยู่อย่างนี้ โลว์คอสต์ไม่ต้องไปสู้เลย”
การลดราคาของการบินไทยครั้งนี้ แม้ว่าการบินไทยจะบอกเหตุผลอย่างเป็นทางการว่า เพราะเศรษฐกิจไม่ดี เลยต้องลดราคาบัตรโดยสารลง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว
แต่เมื่อพิจารณาจากราคาที่ลดลงจากปกติ 30% แต่คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเพียง 5% จากปกติ นั่นหมายความว่าการบินไทยต้องขาดทุนจากการลดราคาครั้งนี้อย่างแน่นอน
ซึ่งในการคำนวณอย่างคร่าวๆ การบินไทยขาดทุนจากการลดราคาตั๋วครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อเดือน แล้วทำไมการบินไทยถึงยอมขาดทุน ควักเนื้อ
คำตอบคือ การบินไทย ต้องการ “ล้ม” นกแอร์ บริษัทลูกนอกไส้ของการบินไทยให้ตายไปจากสารบบของธุรกิจโลว์คอสต์แอร์ไลน์ เนื่องจากนกแอร์คือผลผลิตทางการเมืองที่การบินไทยไม่ต้องการ
เมื่อเป็นเช่นนั้น วิธี “เผานาฆ่าหนู” จึงเกิดขึ้นโดยไม่คำนึงความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งระบบว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนั้น อนาคตโลว์คอสต์แอร์ไลน์ จะอยู่หรือไป จึงอยู่ที่การดัมพ์ราคาของการบินไทย
ที่มา โพสต์ทูเดย์